อลัน คริสตอฟเฟอร์สัน น่าจะเป็นชายหนุ่มอายุไม่ถึงสามสิบปีที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก ไม่ใช่เพียงเพราะบริษัทโฆษณาของเขาที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม หรือเพราะบ้าน รถ และทรัพย์สินอันหรูหราต่าง ๆ แต่ยังรวมถึง แม็คเคล คนรักที่อยู่เคียงข้างและสร้างอนาคตร่วมกันมาโดยตลอด แต่แล้วชะตาก็พลิกผัน เมื่ออลันต้องสูญเสียทุกอย่างไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งบริษัทที่ถูกโกง บ้านและรถที่ถูกยึด รวมทั้งภรรยาที่มาเสียชีวิตในช่วงเวลาที่ทุกอย่างย่ำแย่ถึงขีดสุด อลันตัดสินใจทิ้งความทรงจำไว้เบื้องหลัง และออกเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ตอนนั้นเองที่เขาพบว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่และชีวิตใหม่ของเขาเพิ่งเริ่มขึ้น
.
.
ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของนวนิยายเรื่อง “ก้าวย่างในความทรงจำ” ที่บอกเล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต อันเป็นมูลเหตุให้เขาออกเดินทางด้วยสองขาของตนเองเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ซึ่งในตอนแรกเขาคงคิดว่าแค่ไปให้พ้นจากที่ ๆ มีความทรงจำเดิมของตนเท่านั้นเอง แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งพบอะไรหลายอย่างที่ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
.
อย่างแรก อลันได้มีโอกาสทบทวนความทรงจำต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กับความสูญเสียที่มาอย่างฉับพลันเหมือนไฟไหม้บ้าน เหลือเพียงซากปรักหักพังให้โหยหาและสะเทือนใจ ฉะนั้น การมีเวลาได้อยู่กับตนเองทำให้ความคิดของเขาค่อย ๆ ตกผลึก สะท้อนผ่านข้อความต่าง ๆ ที่ปรากฏในสมุดบันทึกของเขา ดังเช่นส่วนหนึ่งที่ปรากฏตอนต้นเรื่องว่า
.
…สวนอีเดนคือต้นแบบสำหรับทุกคนที่เคยสูญเสีย ซึ่งก็คือมวลมนุษยชาติทั้งหมดน่ะแหละ
การมีอยู่ก็คือการสูญเสีย เช่นเดียวกับมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะตายไป แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังอิจฉาแอดัมนะ
เพราะถึงแม้เขาจะสูญเสียอีเดนไป เขาก็ยังมีอีฟของเขาอยู่ …
(หน้า 12)
.
การยกเรื่องราวของแอดัม อีฟ สวนอีเดน และพระเจ้ามักพบได้เสมอในนวนิยายของชาติตะวันตก ทำนองเดียวกับเวลาที่เราอ่านนวนิยายไทย แล้วพบเห็นเรื่องราวทำนองบาปบุญคุณโทษ กฎแห่งกรรม และพุทธศาสนาฉันใดก็ฉันนั้น สำหรับเรื่องของอลันแล้ว ความคิดเรื่องความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าของเขาก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อยจากการเดินทางครั้งนี้ ดังจะสังเกตว่านวนิยายหรือหนังจากชาติตะวันตกมักจะชอบเล่นกับเรื่องความเชื่อทางศาสนา เรามักพบว่าตัวละครจะแสดงออกในทำนองเคลือบแคลงหรือสงสัยต่อการมีอยู่ของพระเจ้าเสมอ ตัวเอกของเรื่องนี้ก็เช่นกัน ในช่วงเวลาที่แม็คเคลป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลรอบสองนั้น อลันได้คุกเข่าอ้อนวอนเพื่อขอชีวิตเธอต่อพระเจ้าในห้องน้ำสาธารณะ แต่ภาษาที่ใช้ในตอนนี้ค่อนข้างเสียดสีการมีอยู่ของพระเจ้าอย่างรุนแรง ดังจะเห็นจากที่ผู้เขียนบรรยายเหตุการณ์ตอนดังกล่าวว่า
.
… “พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์ฟังอยู่ ลูกจะยอมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ ขอเพียงแต่พระองค์
ทรงละเว้นชีวิตของเธอ ลูกขอวิงวอนอย่าได้พรากเธอไปจากลูกเลย ผมคุกเข่าต่อไปอีกสิบนาที
จนกระทั่งใครบางคนลองเปิดประตู
เราสามารถแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งกว่านี้ได้อีกสักเพียงใด ผมคิด คุกเข่าอยู่บนพื้น
ห้องน้ำสาธารณะนี่นะ พระเจ้าคงได้ยินคำภาวนาของฉันแน่ละ แต่ความจริงก็คือ ผมรู้สึกเหมือนผม
กำลังสวดภาวนาต่อความว่างเปล่า ผมอาจสวดภาวนาต่อโถปัสสาวะก็ได้ …
(หน้า 90-91)
.
จะเห็นว่าภาษาในตอนนี้ ผู้เขียนให้อลันไม่เชื่อการมีอยู่ของพระเจ้า จากการยกเอาของต่ำอย่างโถปัสสาวะมาเทียบกับสิ่งสูงส่งอย่างพระเจ้า ก็ยิ่งนำให้ยิ่งเห็นภาพความแตกต่างอย่างสุดขั้ว และทำลายความน่าเชื่อถือของพระเจ้าอย่างแสบ ๆ คัน ๆ อย่างไรก็ตาม แอลลี่คือตัวละครที่เข้ามาระหว่างการเดินทาง และเธอก็ได้แลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องพระเจ้าแก่อลัน ดังที่แอลลี่ถามเขาว่า
.
… “คุณเชื่อในพระเจ้าไหม”
“มีข้อสงสัยอยู่” ผมบอก
“แล้วมีคำตอบไหม”
“เอาเป็นว่าผมโกรธพระองค์มากเกินกว่าที่จะไม่เชื่อน่ะ”
“คุณโทษพระเจ้าสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณหรือคะ”
“อาจจะใช่ คงใช่แหละ”
เธอนิ่วหน้า และผมมองออกเลยว่าสิ่งที่ผมพูดทำให้เธอไม่สบายใจ “ผมไม่ตั้งใจทำให้คุณ
เสียความรู้สึกหรอกนะ”
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่นึกสงสัยว่าทำไมเราถึงโทษพระเจ้าสำหรับทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องดี…”
(หน้า 203)
.
แม้นวนิยายจะไม่ได้บอกว่าอลันยอมรับพระเจ้าหรือไม่ แต่น้ำเสียงของการเล่าเรื่องก็ค่อนไปในทางบวกมากขึ้น จนกระทั่งตอนท้ายเรื่องที่บอกไม่ได้ว่ามันคือความฝันหรือปาฏิหาริย์ แต่ก็นำไปสู่บทสรุปของเรื่องที่น่าประทับใจ
.
ถึงตอนจบจะไม่ยากเกินคาดเดา แต่ความน่าสนใจของนวนิยายเรื่องนี้อยู่ระหว่างการเดินทางของตัวเอกมากกว่า คล้าย ๆ ที่ใครบางคนเคยพูดเอาไว้ว่า สิ่งสำคัญของการเดินทางไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็นอะไรที่เราได้ระหว่างทางต่างหาก
.
.
“ก้าวย่างในความทรงจำ” แปลจากเรื่อง The Walk ของ ริชาร์ด พอล เอแวนส์ (Richard Paul Evans) สำนวนภาษาไทยโดย ปัทมา อินทรักขา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2557 โดยแพรวสำนักพิมพ์ ยังพอหาได้ตามร้านหนังสือทั่วไป